วิธีแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น หรือปัญหาผิวแห้งต่าง ๆ ด้วย Filler และ Botox
ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า รอยเหี่ยวย่น ผิวหย่อนคล้อยและมีถุงใต้ตา หรือปัญหาผิวแห้ง เป็นสัญญาณแห่งวัยที่สามารถเกิดขึ้นได้ และยังหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะปัญหารอบดวงตา ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบางที่สุด แต่อายุก็เป็นเพียงตัวเลขได้ หากใครกังวลใจกับริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย บทความนี้ เมโกะ คลินิก มีวิธีแก้ปัญหาด้วยการฉีด Filler ใต้ตา และฉีด Botox ลดริ้วรอย มาแนะนำค่ะ
Filler และ Botox แก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น หรือปัญหาผิวแห้งต่าง ๆ ได้จริงไหม
การแก้ปัญหาริ้วรอย ริ้วรอยใต้ตา รอยเหี่ยวย่นหางตา หรือรอยตีนกา ปัจจุบันทำได้ไม่ยากและมีหลายวิธีให้เลือก เช่น Filler หรือโบท็อกลดริ้วรอย ที่สามารถขจัดริ้วรอยได้อย่างเห็นผล และเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด เราต้องทราบก่อนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดถุงใต้ตา และริ้วรอยเหี่ยวย่นต่าง ๆ
1. อายุเพิ่มมากขึ้น
อายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ เพราะร่างกายของคนเราจะสร้างสารคอลลาเจนและอีลาสติน ที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึงได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่ชุ่มชื้น เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพและอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหางตาและใต้ตา ที่มักเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
2. แสงแดด
แสงแดด หรือ รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นตัวการทำให้โครงสร้างผิวอ่อนแอ ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เพราะอีลาสตินและคอลลาเจนในผิวหนังถูกทำลาย เมื่อผิวขาดความยืดหยุ่น ก็เป็นสาเหตุให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวปกติ
3. การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า
การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าด้วยการ ยิ้ม หัวเราะ หรี่ตา หรือการขมวดคิ้วที่เรียกกันว่าคิ้วผูกโบ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ริ้วรอยใต้ตา หรือตีนกา ได้ง่ายมาก
4. ผิวขาดความชุ่มชื้น
คนที่มีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้นหรือผิวแห้ง มักจะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าคนผิวมัน ปัญหาผิวแห้งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ดื่มน้ำน้อย ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม ขัดถูกหน้าแรง ๆ รวมทั้งการสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป ก็เป็นสาเหตุทำให้ผิวแห้งและเกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
5. พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
พฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่ไลฟ์สไตล์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ เช่น การนอนหลับพักผ่อนน้อย นอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือบุหรี่ เพราะสารนิโคตินและแอลกอฮออล์ มีส่วนทำให้คอลลาเจนในผิวเสื่อมสภาพลง รวมถึงการลดน้ำหนักผิดวิธี น้ำหนักลดเร็วเกินไป
วิธีแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น ปัญหาผิวแห้ง ด้วย Filler และ Botox
ริ้วรอยรวมทั้งรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของคนเรา สามารถเกิดขึ้นได้และริ้วรอยต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นตามวัย หากไม่บำรุงดูแลผิวพรรณตั้งแต่เนิ่น ๆ นอกจากริ้วรอยตามวัยแล้ว ยังอาจเกิดปัญหาริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วย Filler และการฉีดโบท็อกลดริ้วรอย คือตัวช่วยแก้ปัญหาหิวแห้วและริ้วรอยต่าง ๆ ให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์ สามารถชะลอวัยและต่อต้านริ้วรอยได้อย่างเห็นผลลัพธ์
Filler คืออะไร
Filler หรือการฉีดฟิลเลอร์ เป็นวิธีลดริ้วรอยด้วยสารเติมเต็มเข้าสู่ใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย หลุมรอยแผลเป็น ปรับรูปหน้าและทำให้หน้าหน้าชุ่มชื้นขึ้น โดยสารที่ใช้ฉีดคือ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) เป็นสารสังเคราะห์ที่ทำขึ้นมาเลียนแบบกรดไฮยาลูโรนิก ที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในผิวหนังของคนเราอยู่แล้ว ทำให้ Filler ที่ฉีดเข้าไปในผิวหนังมีความปลอดภัย อีกทั้งสามารถสลายไปเองได้โดยไม่มีสารตกค้างภายในผิวหนัง
Filler เหมาะกับใคร การฉีด ให้ผลการรักษาที่ถาวร หรือไม่
ฟิลเลอร์ เป็นเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยสูง และยังเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองโดยองค์กรอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ผลการรักษาริ้วรอยจากการฉีดฟิลเลอร์ ให้ผลการรักษาที่ไม่ถาวร เนื่องจากร่างกายของเราจะสลายฟิลเลอร์ไปเอง และผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานมี อย. รับรอง จะอยู่ได้ 6 -18 ดือน การฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้
- ผู้ที่ผิวหน้ามีปัญหาริ้วรอย ร่องแก้มลึก มีริ้วรอยใต้ตา และบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า ต้องการลดและแก้ไขปัญหาริ้วรอย
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปรับรูปหน้าให้สวยสมส่วน หรือหน้าเรียววีเชฟ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์หน้าผาก และส่วนต่าง ๆ บนใบหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้ามีรูขุมขน และหลุมสิว มองเห็นได้เด่นชัด ต้องการฉีดฟิลเลอร์แก้ไขให้มีผิวหน้าที่เรียบเนียน
- ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้า ให้คงความอ่อนเยาว์ สดใส เปล่งปลั่ง
- ผู้ที่มีปัญหาใต้ตามีรอยดำ มีถุงใต้ตา
- ผู้ที่มีปัญหารอยเหี่ยวย่นที่เกิดจาก โครงสร้างผิวเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่มากขึ้น
การเตรียมตัว ก่อนฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มและยกกระชับหรือปรับโครงสร้างใบหน้าให้สวยสมส่วนได้รูปตามต้องการ แต่ฉีดแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้มากน้อยเพียงใด ยังขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวก่อน Filler ของผู้รับบริการ ดังนี้
- ศึกษาข้อมูล และเลือกคลินิกที่ได้รับรองมาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้อง
- พบแพทย์ เพื่อปรึกษาปัญหาริ้วรอย
- ก่อน Filler งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน
- กรณีมีโรคประจำตัวที่ต้องรับประทานประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อน
- งดการสครับผิว งดการโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 1 สัปดาห์ ควรงดรับประทานยา แอสไพริน และวิตามินบางชนิดตามคำแนะนำของแพทย์
ขั้นตอนการทำ Filler เพื่อลดริ้วรอย
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปภายในผิวหนัง จุดประสงค์ในการทำไม่ว่าจะเป็นการลดริ้วรอยหรือปรับแต่งรูปหน้า สามารถทำได้หลายตำแหน่ง ซึ่งแพทย์จะใช้เวลาในการฉีดประมาณ 15-30 นาที โดยขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้
- พบแพทย์เพื่อปรึกษา และประเมินปัญหาที่ต้องการแก้ไข
- ก่อนฉีดแพทย์อาจะแนะนำชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ และปริมาณในการฉีดที่เหมาะสมกับปัญหา และเหมาะสมกับจุดที่ต้องการฉีด
- ก่อนฉีด เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดใบหน้า หากผู้รับบริการแต่งหน้ามา ก็จะต้องเช็คเครื่องสำอางในจุดที่ฉีดออก
- ประคบน้ำแข็งจุดที่ฉีด เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
- หลังฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง เพื่อช่วยให้การฉีดฟีลเลอร์ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ภาวะแทรกซ้อน ที่เกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รวมทั้งการการฉีดเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยตามจุดต่าง ๆบนใบหน้า หลังฉีดฟิลเลอร์ อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ มีรอยแดงจากเข็ม หรือมีอาการบวมหลังฉีด จะบวมประมาณ 7 – 14 และบวมมากในวันแรก ๆ หลับจากนั้นจะค่อยๆ บวมน้อยลงและหายไปเองได้ ถือเป็นผลข้างเคียงปกติที่ไม่ต้องพบแพทย์ ส่วนผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่ต้องพบแพทย์ มีดังนี้
1. ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนนูนออกมาจากผิว
ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมเป็นก้อน เห็นได้อย่างชัดเจนเวลายิ้มหรือขยับกล้ามเนื้อใบหน้า เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ เกิดจากการดูแลตนเองไม่ดีหลังฉีดฟีลเลอร์ หรือเกิดจากความผิดพลาดในการฉีด ควรพบแพทย์เพื่อปรับแก้ไขภายใน 2 สัปดาห์ หากทิ้งระยะเวลาไว้นานกว่านี้จะทำให้ยากต่อการแก้ไข หรือต้องแก้ไขด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์แทน
2. อาการแพ้ฟิลเลอร์
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการแพ้ฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม และอาการแพ้สามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งหลังฉีดทันทีหรือเกิดขึ้นเมื่อฉีดไปนานเป็นปีแล้ว ลักษณะอาการอาจบวมแดงมาก ร่วมกับการมีก้อนนูนขึ้นมาจากผิว หรือมีรอยแดง มีตุ่มผื่นลมพิษขึ้นใกล้กับบริเวณที่ฉีด บางคนอาจมีการอักเสบ ติดเชื้อ และเป็นหนอง
3. อาการบวมจากการติดเชื้อและอักเสบ
อาการบวมจากการติดเชื้อ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย และเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หลังฉีดหากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์อย่างเร่งด่วน มีอาการบวมแดง แสบร้อนบริเวณที่ฉีด ผิวหนังเป็นสีแดงจัดหรือสีม่วง และอาจมีหนองอยู่ในบริเวณที่บวมด้วย
การดุแลตนเอง หลังฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ filler ใต้ตา หรือการฉีดเพื่อเติมเต็มและยกกระชับบริเวณจุดต่าง ๆ บนในหน้า หลังฉีดอาจจะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคัน ถือเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ เพื่อลดบวมและเห็นผลลัพธ์ที่ดี มีวิธีดูแลตนเองหลังฉีดฟีลเลอร์ ดังนี้
- นอนหนุนหมอนสูง เพื่อป้องกันเลือดไปเลี้ยงที่บริเวณใบหน้ามากทำให้จุดที่บวมมีเลือดไปเลี้ยงมากกว่าปกติ
- หลีกเลี่ยงการประคบเย็น หรือประคบน้ำแข็ง เพราะอุณหภูมิมีผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ หากต้องการประคบเย็น ควรปรึกษาแพทย์หากพิจารณาแล้วว่าสามารถประคบเย็นได้ แพทย์จะแนะนำวิธีประคบที่ปลอดภัยให้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส การนวด กด เกา รวมถึงสัมผัสแรง ๆ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงความร้อน ช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และความร้อน เช่น ตากแดด การเข้าห้องซาวน่า เนื่องจากความร้อนจะส่งผลต่อการเซตตัวของฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะครีมบำรุงผิวบางชนิดมีส่วนประกอบของกรดผลไม้ อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวบริเวณที่ฉีดได้
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ หลังจากฉีดฟิลเลอร์ในช่วง 4 – 5 วันแรก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและคงทน เนื่องจากการดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำ มีประสิทธิภาพดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 7 วัน เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์ทำให้เลือดสูบฉีดทำให้เลือดออกในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ รวมทั้งการสูบบุหรี่อาจทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย
ทำไม Filler ช่วยรักษาริ้วรอยต่าง ๆ ได้
Filler ที่เราใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มและแก้ไขริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า คือ สารเต็มเติมชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นมาเลียนแบบกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง มีหน้าที่ช่วยเก็บความชุ่มชื้นภายในเนื้อเยื่อช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายผลิตสารเหล่านี้ได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวพรรณที่เคยกระชับเต่งตึง เกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย ไม่สดใส แลดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณที่เกิดริ้วรอย จึงช่วยเติมเต็มแก้ไขปัญหาริ้วรอยให้กลับมากระชับ ช่วยชะลอวัยทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
Botox คืออะไร
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของบริษัท Allergan ผู้ที่คิดค้นการนำเอาสาร Botulinum Toxin A มาใช้ในด้านความงาม และการรักษาริ้วรอยเป็นครั้งแรก นอกจากนั้นยังเป็นยี่ห้อแรกที่ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา Botox ไม่เพียงใช้ฉีดเพื่อเสริมความงามและแก้ไขปัญหาริ้วรอยเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคบางชนิดด้วย
Botox เหมาะกับใคร การฉีดให้ผลการรักษาที่ถาวร หรือไม่
ฉีดโบท็อก คือการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากแบคทีเรีย เข้าไปที่กล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราวและช่วยลดเลือนริ้วรอย เช่น ฉีดโบท็อกหน้าเรียว เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูเรียว แลดูอ่อนเยาว์ แต่การฉีดโบท็อกริ้วรอย ไม่สามารถรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้ถาวร โดยหลังการฉีดจะเริ่มเห็นผลลัพธ์และคงอยู่ได้ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณ ตำแหน่งที่ฉีด ยี่ห้อโบท็อก และความลึกของริ้วรอยเหี่ยวย่น การฉีด Botox จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้
- ผู้หญิงและผู้ชายที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ทำให้แลดูแก่กว่าวัยอันควร
- ผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่จากกล้ามเนื้อกราม ต้องการลดกราม ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย และช่วยให้โครงหน้าดูมีมิติมากยิ่ง
- ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกบริเวณรักแร้มาก และมีกลิ่นตัว การฉีด Botoxช่วยลดเหงื่อบริเวณรักแร้ทำให้กลิ่นตัวหมดไป
- ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง เช่น ต้องการยกคิ้วทำให้ตาดูโตขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกใหญ่ รูจมูกกว้าง
การเตรียมตัว ก่อนฉีดโบท็อก
การฉีดโบท็อกไม่เป็นอันตราย แต่การฉีดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ว่าจะเป็นการ โบท็อกลดริ้วรอย ฉีดโบท็อกหน้าเรียว หรือฉีดเพื่อเสริมความงาม การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ มีส่วนสำคัญเพราะนอกจากช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแล้ว ยังเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย การเตรียมตัวทำได้ ดังนี้
- เลือกคลินิกที่ได้รับรองมาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้อง และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
- พบแพทย์ เพื่อแจ้งปัญหาผิวหน้าที่ต้องการปรับแก้ และขอคำแนะนำ
- เลือกคลินิกที่ได้รับรองมาตรฐาน จดทะเบียนถูกต้อง
- ตรวจสอบโบท็อกซ์ก่อนฉีด โดยตรวจสอบจากกล่องยาและขวดยาเพื่อให้มั่นใจได้ว่าฉีดของแท้ได้มาตรฐาน อย.
- งดแอลกอฮอล์ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง
- งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม ใบแปะก๊วย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด
- กรณีมีโรคประจำตัว และต้องรับประทานยา ควรแจ้งแพทย์ก่อน
ขั้นตอนการทำ Botox เพื่อลดริ้วรอย
- บางกรณีอาจต้องพบแพทย์ก่อน เพื่อประเมินปัญหาที่ต้องการแก้ไจ
- ความสะอาดใบหน้า และบริเวณที่ต้องการฉีด
- แพทย์ตรวจสอบความพร้อมของผิว และนำโบท็อกที่ใช้ฉีด
- ทายาชาก่อนฉีดโบท็อก ประมาณครึ่งชั่วโมง
- แพทย์ทำการฉีดโบทูลินัม ท็อกซินเข้าสู่ผิวด้วยเข็มที่มีขนดาเล็กมาก และใช้เวลาประมาณ 15 – 45 นาทีขึ้นอยู่กับบริเวณที่รักษา
- บริเวณที่ฉีดโบท็อก อาจมีการแปะยาชาร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อน ที่เกิดขึ้นหลังฉีดโบท็อก
โบท็อก เป็นสารที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหนังเพื่อควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดทำงานได้น้อยลง ผลลัพธ์ที่ได้คือช่วยลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้เรียวสวย แม้ผลของการฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้อยู่อย่างถาวรแต่จะอยู่ได้ประมาณ 3 – 6 เดือน แต่หลังฉีดอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวสามารถหายได้เอง เช่น
- อาการปวดศีรษะหรือปวดในบริเวณที่ฉีด
- เกิดลมพิษ เป็นผื่น หรือรู้สึกคันในบริเวณที่ฉีดและบริเวณโดยรอบ
- เคี้ยวอาหารได้ยากขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโบท็อก มีความหนืดมากขึ้น
- ใบหน้าทั้งสองข้างไม่สมมาตร หรือปากเบี้ยวเวลายิ้ม
- มีปัญหาเรื่องการกลืน การพูด หรือการหายใจ
- มีการติดเชื้อ ใบหน้าเบี้ยว ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงและส่งผลกระทบจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่พบได้น้อย หากฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
การดูแลตนเอง หลังฉีดโบท็อก
- หลังการฉีดโบท็อก ไม่ควรนอนราบในช่วง 4 ชั่วโมงหลังการรักษา
- หลังการฉีดหากมีอาการแดง และบวมช้ำ สามารถประคบน้ำแข็งได้ ในช่วง 1 – 2 วันแรก
- ช่วง 1 – 2 ชั่วโมงแรกหลังฉีด พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดให้มาก เพื่อให้ยากระจายเข้ากล้ามเนื้อได้มาก
- หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น แสงแดด หรือการเข้าห้องซาวน่า
- งดดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ทำไม Botox ช่วยรักษาริ้วรอยต่าง ๆ ได้
โบท็อก เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เมื่อฉีดบริเวณริ้วรอยรอยใต้ตา หรือริ้วรอยรอบดวงตา จะส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวจึงไม่เกิดการขยับ หลังจากฉีดโบท็อก จึงช่วยลดเรือนริ้วรอยและร่องลึกได้ ข้อดีของการฉีดโบท็อก ไม่ต้องพักฟื้นหรือพักหน้าสามารถทำงาน หรือทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เห็นผลรวดเร็ว ฉีดโบท็อกลดริ้วรอย ราคาไม่สูง เนื่องจากปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ เพียงเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
สรุป
การฉีด Filler และ Botox เป็นวิธีแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น หรือปัญหาผิวแห้งต่าง ๆ ด้วยการฉีดสารเติมเต็มเช่นเดียวกัน แตกต่างกันที่การฉีดโบท็อกลดริ้วรอย เหมาะสำหรับริ้วรอยร่องตื้นสารที่ใช้เป็นสาร Botulinum Toxin ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ รอยย่นเล็ก ๆ บริเวณใต้ตา รอบดวงตา และริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า โดยเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนการฉีดฟีลเลอร์ เหมาะสำหรับริ้วรอยร่องลึก สารที่ใช้เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา เติมเต็มร่องลึกใต้ตา ริ้วรอบบนใบหน้า ทำให้ริ้วรอยจางลง และผิวดูชุ่มชื้นมากขึ้น หลังฉีดสามารถเห็นผลได้ทันที และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตัวยาที่เป็นของแท้และแพทย์มีประสบการณ์ที่เชื่อถือได้